วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

เกร็ดความรู้

วิธีลดพิษภัยจากขยะ
(หทัยภรณ์ บุญพรหม)

"ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" จะเผชิญภัยร้ายก่อนที่จะแก้ไขกันหรือ?
ฉันปัดแมลงสาปที่ไต่ยั้วเยี้ยบนโต๊ะกับข้าว แมลงวันทั้งหัวเขียวหัวดำบินว่อน พยายามที่จะไต่ตอมบนจานอาหาร ฉันต้องไล่ปัดมันทั้งวัน เจ้าพวกหนูบ้านแสนสกปรกก็วิ่งลอดใต้ขาฉันไปมาเป็นระยะ น่าเบื่อจริงๆ ทั้งๆ ที่ฉันแสนจะรังเกียจเจ้าพวกสัตว์และแมลงเหล่านี้ แต่ฉันจำต้องอยู่กับมันทุกวัน ทุกคืน ทุกชั่วโมง โดยเฉพาะแมลงสาปที่เมื่อก่อนแม้สักตัวเดียว ถ้าฉันเห็นมันเมื่อใด ฉันจะกรีดร้องและกระโดดหนีมันอย่างสุดชีวิต

แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้จะหนีไปทางไหน เพราะไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนอน ห้องรับแขก ก็มีพวกมันเต็มไปหมด จะน้อยหน่อยก็ตรงแถวหน้าบ้านที่พอจะมีที่ให้หลบมุมจากพวกมันบ้าง ทุกวันนี้ฉันเลยจำใจต้องอยู่กับมันอย่างขยะแขยงจนเหลือจะทน

พอจะหลบพวกมันอยู่แถวหน้าบ้าน ก็ต้องมาทนกับกลิ่นเน่าเหม็นที่โชยคลุ้งไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นซอกไหนของเมือง กลิ่นมันก็ตามหลอกหลอนไปตลอด ป่วยการที่จะต้องหนี

คุณประชา คนข้างบ้านป่วยตายด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ เจ็บป่วยได้แค่ 2-3 วัน ก็พาไปโรงพยาบาล แต่รักษาไม่ทัน เพราะคนป่วยเยอะมหาศาล แถมเจ้าหน้าที่ก็เจ็บป่วยและล้มตายไปหลายคน คุณประชาคอยคิวที่ยาวเหยียดได้ไม่ถึง 4 ชั่วโมงก็สิ้นใจตายคาอ้อมกอดเมีย

เพื่อนบ้านอีกหลายคน รวมทั้งพี่ชายฉันก็ป่วยด้วยโรคท้องร่วง บางคนถ่ายมากก็ช็อคตายไปก็มี ส่วนพี่ชายฉันโชคดีหน่อยที่ถ่ายไม่มาก อาการก็ทุเลา

" หนี " พี่ชายฉันบอก แต่ฉันบอกเขาว่าป่วยการที่จะหนี เพราะทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑลต่างก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน ทั่วบ้านทั่วเมืองมีแต่สัตว์น่าขยะแขยงเต็มไปหมด กลิ่นก็เน่าเหม็นไปทั่ว อากาศก็เต็มไปด้วยเชื้อโรค สิ่งแวดล้อมต่างๆ เลวร้ายจนคนทะยอยตายไปทีละคนสองคน

พี่ฉันชวนฉันและครอบครัวหนึไปต่างจังหวัด ฉันบอกเขาว่า ข่าวที่ได้ยินมาว่า แต่ละจังหวัดก็มีสภาพใกล้จะเหมือนกรุงเทพฯ อยู่แล้ว และชาวบ้านก็พยายามผลักดันคนกรุงเทพฯและปริมณฑลไม่ให้เข้ามา เพราะเกรงว่าปริมาณคนที่เพิ่มขึ้นจะสร้างปัญหาให้มากขึ้นอีก โดยเฉพาะคนเมืองหลวงและปริมณฑลนั้นติดสะดวกสบายที่สุด จึงเป็นตัวก่อปัญหามากที่สุด เลยพบจุดจบเร็วกว่าเพื่อน

ต่อมาสภาพเมืองหลวงยิ่งเลวร้ายขึ้นทุกวัน ฉันเริ่มป่วยขึ้นมาบ้าง ภูมิต้านทานตอนนี้แทบไม่มีเลย แม่ฉัน พ่อฉัน และคนข้างบ้านเริ่มป่วยไปด้วยโรคต่างๆ นาๆ ฉันคิดทบทวน เพราะคนเราแท้ๆ ที่ก่อปัญหา พอเกิดปัญหาขึ้นมาก็ไม่แก้ กลับยิ่งก่อหนักขึ้นไปอีก เพราะความที่ติดสะดวกสบาย ติดสิ่งมอมเมาอื่นๆ จึงเอาเวลาส่วนใหญ่ทั้งหมดไปสนุกสนาน จนไม่คิดจะแก้ไขปัญหากัน แล้ววันนี้คีอวัน กรรมสนอง ของพวกเราทุกคน

พวกเรากำลังจะตาย ไม่มีที่หนี ไม่มีที่หลบ เพราะทุกหัวระแหงมีแต่ขยะเน่าเหม็น อุดมไปด้วยสัตว์แมลงพาหะเชื้อโรค อากาศมีแต่มลพิษและเชื้อโรคมากมาย มันเป็นหายนะอันมหันต์ที่กลับมาสนองผู้ที่ก่อ ซึ่งก็คือพวกเรานั่นเอง.


แก้ไขกันเถิด คุณแม่ขอร้อง
จากเรื่องสั้นที่ดิฉันจินตนาการขึ้น ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยหากวันแห่งมหัตภัยร้ายมาถึง แทบไม่มีใครคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณยังใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย และทิ้งมันโดยไม่คิดว่าจะใช้ประโยชน์ต่อได้อีกหรือไม่ จะใช้อย่างไรให้นานๆ และคุ้มค่ามากที่สุด และจะนำมันกลับไปเป็นประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่นได้อย่างไร

ในแต่ละวันเมื่อทุกคนใช้ถุงพลาสติก และสิ่งของต่างๆ มักจะรีบทิ้งมันไปให้พ้นๆ ไม่อยากเสียเวลาไม่อยากเอาภาระใดๆ ต่อไปอีก เพราะเวลาที่เหลือจะต้องไปช็อปปิ้ง ไปสังสรรกับเพื่อนๆ ที่ผับ หรือ เอาไปเวลาไปดูหนังฟังเพลง ไปกรี๊ดนักร้องที่ตนเองชอบข้างขอบเวที หรือไปเล่นสนุ๊กเกอร์ ไปโยนโบว์ลิ่ง หรือแม้แต่จะต้องไปแก้แค้นเอาคืนกับช่างกลคู่อริ ในเมื่อทุกคนให้ค่ากับกิจกรรมอื่นๆ มากกว่าเรื่องขยะมหันตภัยใกล้(จะถึง)ตัวเช่นนี้ละก้อ หนทางแก้คงลำบากจริงๆ ถ้าเรายังทำใจได้และทิ้งขยะกันอย่างขาดจิตสำนึกเช่นนี้กันไปเรื่อย ในไม่ช้าวันโลกาวินาศก็จะมาถึง และเรื่องที่ดิฉันจินตนาการขึ้นก็จะเป็นความจริง คนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือ ดิฉัน...คุณ รวมทั้งพวกเราทุกคนนั่นเอง
"แก้ไขกันเถิด คุณแม่ขอร้อง"

วิธีลดพิษภัยจากขยะ ก่อนจะสายเกินไป
คุณเคยได้ยิน 4 R บ้างหรือไม่ หลายท่านคงเคยได้ยินมาแล้ว หลายท่านอาจจะไม่เคยได้ยินเพราะไม่เคยสนใจ
ถึงเวลาแล้วนะคะที่ทุกท่านต้องร่วมมือกัน ในการประยุกต์ 4 R มาใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งได้แก่
1. Reduce ลดการใช้ปริมาณทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย ใช้อย่างประหยัด เช่น ลดการใช้ถุงพลาสติก ทำอาหารให้พอดีกับการรับประทาน ใช้ตะกร้าแทนถุง
2. Repair การซ่อมแซมวัสดุเก่าที่ชำรุดมาใช้ ใช้วัสดุอย่างทะนุถนอมเพื่อให้ใช้ได้นานๆ เพื่อใช้ให้คุ้มค่ามากที่สุดก่อนที่จะกลายเป็นขยะ
3. Reuse นำกลับมาใช้ใหม่ให้เป็นประโยชน์ เช่นถุงหิ้ว ก่อนจะทิ้งลงขยะ สามารถนำกลับมาใช้ได้อีกหลายครั้ง และครั้งสุดท้ายสามารถนำมาบรรจุขยะสำหรับทิ้งได้
4. Recycle การนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น การแยกขยะวัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่เพื่อนำไปขายให้แก่โรงงานผลิต เพื่อนำไปหลอมใหม่อย่างขวดแก้ว กระดาษ ขวดพลาสติก ถุงพลาสติก

วิธีในการลดมวลขยะ(สำหรับภาครัฐ)
1. รัฐควรให้การสนับสนุนด้านการรณรงค์ให้ทุกคนเกิดจิตสำนึกตามสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่องและกว้างขวาง
2. ภาครัฐควรมีมาตราการรองรับสานต่อ หากภาคเอกชนและประชาชนให้ความร่วมมือในการลดปริมาณขยะ เพื่อให้ปัญหานี้มีการสนองตอบและมีการจัดการที่ครบวงจร เช่น ประสานงานโรงงานแก้ว โรงงานกระดาษ โรงงานพลาสติกในการนำขยะมาแปรรูปใหม่ การตั้งสถานีบริการรับขยะที่จะรีไซเคิลตามจุดต่างๆ อย่างทั่วถึงในเมืองตลอด 24 ชั่วโมง(ให้สะดวกเหมือนร้าน เซเว่นอีเลฟเว่น หรือ ฟามิลี่มาร์ท)
3. จัดระบบการเก็บขยะใหม่ให้ดีกว่าปัจจุบัน สร้างจิตสำนึกให้แก่ผู้เก็บขยะ ว่าเขาทำงานเก็บขยะไปเพื่อ อะไร และงานที่เขาทำนั้นสร้างคุณค่าให้แก่สังคมแค่ไหน เท่าที่เห็นการจัดเก็บขยะของเจ้าหน้าที่ยังเป็นแบบเหมาเข่งอยู่ เก็บจากถังแล้วก็โยนขึ้นไปรวมบนรถ เมื่อประชาชนบางส่วนที่มีจิตสำนึกทำการแยกขยะให้ แต่ผู้จัดเก็บยังโยนเข้ารวมกองๆ ปนเปกัน ประชาชนที่มีจิตสำนึกนั้นก็จะหมดกำลังใจ ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม สุดท้ายก็เลิกทำ ในที่สุดปัญหาก็จะไม่ได้แก้ไข

วิธีในการลดมวลขยะ(สำหรับเอกชน)
1. ภาคเอกชนควรรณรงค์ ออกกฎระเบียบในการดูแลเรื่องขยะในองค์กรอย่างต่อเนื่อง ควรมีการแยกขยะประเภทต่างๆ ขยะบางประเภทสามารถสร้างรายได้เข้าองค์กรได้อีก
2. อาหารสดจากโรงอาหารที่ทิ้งแล้วควรแยกไว้ และถ้าเป็นไปได้ควรนำไปให้ภาคเอกชนที่กำลังดำเนินการเรื่องการทำปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยชีวภาพนำไปใช้ประโยชน์ต่อ
3. ควรมีการอบรมปลูกจิตสำนึกในเรื่องการทำงาน และการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม เพราะเรื่องขยะที่กำลังเป็นปัญหาในสังคมในขณะนี้ ทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้าง ก็คือปัญหาหนึ่งที่ทุกคนในองค์กรควรรับรู้และควรช่วยกันแก้ไข ไม่ใช้โยนภาระนี้ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแก้ไขเพียงคนเดียว
4. ผู้นำขององค์กรเอกชนควรสร้างจิตสำนึกเป็นตัวอย่าง ปฏิบัติให้ผู้น้อยดูเป็นตัวอย่าง เพื่อสร้างกระแสสิ่งที่ดีงาม และเป็นเครื่องชี้วัดว่าผู้นำองค์กรนี้มีความรับผิดชอบสูงต่อสังคม แสดงว่า ความรับผิดชอบต่อองค์กรและผู้น้อยที่ปฏิบัติงานในองค์กรย่อมสูงไปด้วย.
5.ภาคเอกชนที่มีส่วนในการใช้ถุงพลาสติกจำนวนมาก เช่น ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ควรสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้ถุงกระดาษ หรือ รณรงค์ให้ประชาชนนำถุงหรืออุปกรณ์ใส่ของมาเอง เช่น อาจมีการลดราคาให้ หรือ มีการแถมสินค้าเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ประชาชนในสังคมมีกำลังใจในการลดปริมาณขยะ

วิธีในการลดมวลขยะ(ภาคประชาชน)
1. สร้างจิตสำนึกตนเองในการแก้ปัญหาขยะล้นเมือง เพราะตนเองเป็นผู้สร้าง ดังนั้นจึงต้องมีส่วนในการรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาโดยตรง หากไม่สามารถสร้างจิตสำนึกได้ ไม่มีความเพียรเพียงพอ ควรต้องพึ่งองค์กรเอกชนให้ช่วยปลุกจิตสำนึกเชิงบวกออกมา เช่น การเข้าอบรมพัฒนาคุณภาพชีวิตต่างๆ ซึ่งมูลนิธิหรือ หน่วยงานต่างๆ ในสังคมจะมีหลักสูตรอบรมออกมาเป็นระยะ
2.ลดการใช้ถุงพลาสติกลง ใช้ตะกร้าหรือถุงผ้าแทน
3. รณรงค์ตนเองลดการใช้ถุงพลาสติกในการใส่อาหาร เช่น นำปิ่นโต หรือกล่องพลาสติกไปใส่แทน นำตะกร้าไปใส่ผัก
4. ช่วยกันแยกขยะ และนำขยะที่ Recycle นำกลับไปขายสร้างรายได้อีก หรือจะนำขยะสะอาดที่ Recycle ได้บริจาคให้กับคนเก็บขยะขายก็ได้บุญเช่นกัน
5. นำวัสดุหรือพลาสติกที่จะทิ้งนำมาใช้ใหม่ เช่น ขวดน้ำนำมาล้างให้สะอาด นำมาใส่น้ำดื่มได้ ขวดหรือโหลแก้วจากพวกแยม สามารถนำมาล้างไว้ใส่น้ำตาลทราย พริกป่น หรือพริกไทยได้
6. ขยะสดนำมาหมักเป็นจุลินทรีชีวภาพได้ นั่นก็คือปุ๋ยชีวภาพโดยไม่ต้องซื้อปุ๋ยเคมี และปุ๋ยชีวภาพไม่เป็นพิษ ต่อดิน สิ่งแวดล้อม และต่อผู้บริโภค และและถ้าเหลือจากการใช้สามารถสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว
7. ต้องรณรงค์คนในครอบครัวให้รู้จัก 4 R ในฐานะที่ทุกคนคือผู้สร้างปัญหานี้ ซึ่งต้องร่วมมือกันแก้ไข.

อ้างอิง
http://www.geocities.com/rukloke/Environ4.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น